3 กูรู มอง SET กพ. ผันผวน แนะเล่นหุ้นธีมรับ Test & Go-ปันผล

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

โกลเบล็ก-ทรีนีตี้-ทิสโก้ ประสานเสียง ประเมินตลาดหุ้นไทย เดือน ก.พ.ผันผวน คาดวิ่งในกรอบ 1,620-1,680 จุด มองตลาดผันแปรตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐโดยเฉพาะดอกเบี้ยเฟด อีกทั้งยังต้องจับตาปัญหาคาบสมุทรเกาหลี แม้ในประเทศยังได้แรงหนุนจากงบปี64ฯ ภาครัฐกระตุ้นศก. โดยโกลเบล็ก แนะนำลงทุน 7 หุ้นเด่นพื้นฐานดี–รับมาตรการ Test & Go ขณะที่ทรีนีตี้ ลดเป้าดัชนี จาก 1,800 จุด เหลือ 1,770 จุด เชียร์หุ้นธีมปันผล-หุ้นเติบโตที่ราคาปรับลงแรง ส่วนทิสโก้ เชียร์ 7 หุ้นน่าลงทุน

GBS มองตลาดฯเดือนกพ. ผันผวน ให้กรอบ 1,620-1,680 จุด

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นในเดือนก.พ.65 ว่า ดัชนียังคงมีแนวโน้มผันผวน โดยได้แรงหนุนจากการเก็งกำไรการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนงวดปี 64 ซึ่งคาดว่าจะรายงานออกมาฟื้นตัวทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่ดีขึ้น

ประกอบกับการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ล่าสุดกรมทางหลวงทุ่มงบประมาณ 4.5 พันล้านบาท เพื่อดำเนินการขยายเส้นทางมอเตอร์เวย์เชื่อมต่ออู่ตะเภา เพื่อรองรับการเดินทางในพื้นที่ EEC ซึ่งคาดว่าจะตอกเสาเข็มปลายปี 65 เพื่อให้ทันใช้สำหรับการเปิดสนามบินอู่ตะเภาในปี 68

อีกทั้งการผ่อนปรนเว้นการเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้กำกับ ก.ล.ต.ทั้งภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% ภาษีมูลค่าเพิ่ม และยังให้นำผลขาดทุนมาหักกลบกับกำไรในปีภาษีเดียวกัน ของกรมสรรพากร ทำให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาคึกคักมากขึ้น และราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับสูง

ขณะที่นักลงทุนยังวิตกกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในเดือนกุมภาพันธ์ที่ระดับ 1,620-1,680 จุด

ส่วนปัจจัยที่ยังคงต้องจับตาต่อเนื่อง อาทิ ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF มีการประเมินถึงเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวขึ้นมากแต่ไม่สมดุลเนื่องจากมียอดการอุปโภคบริโภคที่อ่อนแอ รวมถึงความไม่แน่นอนจากการใช้มาตรการปราบปรามธุรกิจในภาคเทคโนโลยี และภาคการผลิตที่ชะลอตัว และทางโกลด์แมน แซคส์ปรับคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 5 ครั้งในปี 65 เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง โดยมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมี.ค.นี้

รวมถึงสถานการณ์ความตึงเครียดของเกาหลีใต้ และเกาหลีเหนือหลังคณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้ (JCS) ได้เปิดเผยว่าเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธที่ยังไม่ทราบชนิดอย่างน้อย 1 ลูกลงสู่ทะเลนอกชายฝั่งตะวันออกในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งถือเป็นการยิงขีปนาวุธครั้งที่ 7 ในเดือนนี้

รวมทั้งการจับตาการประชุมโอเปกพลัสในวันที่ 2 ก.พ. และการรายงานตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมกราคม จาก ADP สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ส่วนอียูจะมีการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนมกราคม จากมาร์กิต ส่วนธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และการกำหนดประชุม FEDในเดือนมีนาคมนี้

เชียร์ 7 หุ้นเด่นรับรัฐฯ กลับมาใช้ Test & Go

แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น 7 หุ้นเด่น ปัจจัยพื้นฐานแกร่ง และแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานในปีนี้มีทิศทางที่สดใส และยังได้ประโยชน์จากการกลับมาใช้มาตรการ Test & Go วันแรกในวันที่ 1 ก.พ. โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์ ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, AOT, AAV, BA และ ASAP

ทรีนีตี้ มอง SET ก.พ. ผันผวนจาก ตปท. แนะหุ้นปันผล

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนเดือน ก.พ. 65 ดัชนียังแกว่งตัวผันผวน โดย ปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อการลงทุน คือรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งถ้าหากออกมาแตกต่างจากเดือนก่อนหรือคาดการณ์ของตลาดมาก จะส่งผลกระทบต่อความคิดของของนักลงทุน ต่อแนวนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงถัด พร้อมจับตาการรายงานตัวเลขการจ้างงานในวันที่ 4 ก.พ. และการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อในวันที่ 10 ก.พ.

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนมีการเร่ง Price in ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด งทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้น และส่งผลให้ความชัน Yield curve ของสหรัฐฯแบนราบลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับฝั่งของไทยที่แนวโน้มการเข้มงวดนโยบายการเงินยังคงห่างไกล จึงทำให้ความชัน Yield curve ของไทยเราทรงตัวได้อยู่ในระดับสูง ภาพของ Bond yield ที่มีลักษณะเช่นนี้ ย่อมทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่มีลักษณะเป็น Value stock เช่นกลุ่มธนาคารและอสังหาฯ

ดังนั้นปัจจัยดังกล่าว ทำให้ปรับลดคาดการณ์ดัชนีปีนี้ลงมาเล็กน้อย จากเดิมมองจุดสูงสุดที่ 1,800 จุด เหลือ 1,770 จุด (อิงประมาณการ EPS ปี 66) เพราะนับจากต้นปีประเด็นการเข้มงวดนโยบายการเงินของ Fed ที่เร็วเกินคาดได้ผลักดันให้ Bond yield ของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ จนส่งผลกระทบต่อ Valuation ของ SET Index ผ่านมาตรวัด Earning yield gap ในทางกลับกัน หากใช้มาตรวัดดังกล่าวกับประมาณการ EPS ปี 65 จะได้ระดับแนวรับสำคัญของ SET ที่ระดับ 1,560 จุด ดังนั้นดัชนีปัจจุบันที่ 1,660 จุด ถือเป็นระดับที่ค่อนข้างสมดุลในเชิง Valuation ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ จึงแนะนำเพียง Selective การถือครองไปยังกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะปรับตัว Outperform ตลาดเท่านั้น

หุ้นแนะนำต่อเนื่องได้แก่ธีมหุ้นปันผลสูง ที่ล่าสุดให้ผลตอบแทนชนะตลาดอย่างชัดเจน เลือกตัวที่ Laggard เช่น ADVANC, INTUCH, MAJOR, TOG ส่วนอีกกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ หุ้นเติบโตที่ราคาหุ้นปรับฐานลงมาแรง แต่ประมาณการ EPS ไม่ได้ถูกปรับลดแต่อย่างใด ส่งผลให้ Valuation ปรับเข้าสู่ระดับที่น่าสนใจมากขึ้น อาทิ HANA, KCE, JMT

” ปัจจัยเสี่ยงที่อาจต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดในช่วงถัดไปได้แก่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่เริ่มไม่เป็นไปตามคาดหวังและเผชิญอุปสรรคมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่อิงกับการบริโภคภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยนอกบ้านน้อยลง สะท้อนผ่านดัชนี Mobility ที่ปรับตัวลดลงในหลายจังหวัด หากราคาสินค้าในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ อาจทำให้กลุ่มหุ้นที่อิงกับภาคการบริโภคภายในประเทศมี Downside risk ที่มากขึ้นได้” นายณัฐชาต กล่าว

ทิสโก้ ให้กรอบ ก.พ.1,610-1,680 จุด เชียร์ 7 หุ้นน่าลงทุน

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (TISCO) กล่าวว่า ยังคงมุมมองการลงทุนหุ้นในปีนี้เป็นปีที่ท้าทายโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะเริ่มเข้มงวดขึ้น

โดยการประชุม เฟด เมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินที่จะเข้มงวดขึ้นชัดเจน โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนมี.ค. พร้อมกับการยุติมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) หลังจากที่ FED ได้ทำการชะลอการเข้าซื้อสินทรัพย์ลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (QE Tapering) โดยบล. ทิสโก้และตลาดประเมินสอดคล้องกันว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% อย่างน้อย 4 ครั้งในปีนี้ ซึ่งคาดว่าราคาหุ้นในปัจจุบันได้รับรู้ประเด็นดังกล่าวไปมากแล้ว

สำหรับแนวโน้มการลดขนาดงบดุล (QT) บล. ทิสโก้คาดว่าจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงกลางปีนี้ โดยหากอิงจากการประเมินของ Jefferies ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของบล. ทิสโก้ที่คาดว่า การลดขนาดงบดุลของเฟดจะอยู่ที่เดือนละ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าคาดการณ์ของตลาดโดยเฉลี่ยที่เดือนละ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้งบดุลลดลงมากกว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 1 ปีแรกของการปรับลดขนาดงบดุล จากระดับสูงสุดที่ 8.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน

นอกจากประเด็นด้านการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มข้นของเฟดแล้ว บล. ทิสโก้แนะนำให้นักลงทุนติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้อและสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครนใกล้ชิด เพราะอาจนำไปสู่ภาวะราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้เพิ่มสูงขึ้นอีก จากการศึกษาดัชนีราคาช่วงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้นแรง (Commodities Supercycle) ในปี 54 พบว่าราคาน้ำมัน (WTI) จะใช้เวลาส่งผ่านราคาต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังดัชนีราคาผู้ผลิตด้านสินค้าโภคภัณฑ์ (PPI: All commodities) และอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ราว 2 และ 4 เดือน ตามลำดับ ดังนั้นราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ชี้ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจปรับเพิ่มขึ้นต่อถึงเดือนพฤษภาคม เป็นอย่างน้อย

ทั้งนี้ หากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อไม่แผ่วลง อาจจะทำให้เฟดต้องส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินที่จะเข้มงวดขึ้นกว่าเดิม เช่น การขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้งในปีนี้ หรือมีการปรับขึ้นถึงครั้งละ 0.50% จากปกติที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมต่อตลาดการเงิน

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/64 คาดการณ์ของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) จำนวน 234 หลักทรัพย์ (คิดเป็น 88% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด) คาดจะมีกำไรสุทธิโดยรวมอยู่ที่ 2.20 แสนล้านบาทในไตรมาส 4/64 เพิ่มขึ้น +24% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และ +22% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ)

โดยกลุ่มที่คาดจะมีกำไรเติบโตโดดเด่นทั้ง YoY และ QoQ คือ ENERG (+81% YoY, +37% QoQ), CONMAT (+30% YoY, +37% QoQ), FOOD (+81% YoY, พลิกจากที่ขาดทุน QoQ) และ ETRON (+45% YoY, +33% QoQ)

บล. ทิสโก้มองหุ้นที่คาดงบ Q4 จะออกมาดี และหุ้นปันผลสูงที่กำไรปีนี้ยังเติบโตได้เป็นตัวเลือกการลงทุนที่เด่นที่สุดในเดือนนี้ อิงจากสถิติย้อนหลัง 7 ปีในเดือนก.พ.ต่อเนื่องจนถึงเดือนมี.ค. ผลตอบแทนรวมของ SETHD Index ซึ่งตัวแทนของหุ้นที่เงินปันผลดีสม่ำเสมอ จะดีกว่าผลตอบแทนรวมของ SET Index เฉลี่ย +2.1% และ +0.4% ตามลำดับ

หุ้นเด่นในเดือน ก.พ. ที่บล. ทิสโก้แนะนำ คือ BANPU, COM7, CPALL, CPF, EGCO, KKP และ SCB ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,610 – 1,620 จุด แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,660 – 1,680 จุด ตามลำดับ

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket