กรมบัญชีกลางรื้อระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่รัฐต้องการหนุนเอสเอ็มอี-เมดอินไทยแลนด์

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

กรมบัญชีกลางรื้อระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่รัฐต้องการหนุนเอสเอ็มอี-เมดอินไทยแลนด์ใหม่ ป้องกันฮั้ว ! ลดใช้ดุลพินิจ เริ่มตั้งแต่ 1 ก.พ. 2565 เป็นต้นไป

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้ปรับปรุงแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน ตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 845 ลงวันที่ 31 ส.ค. 2564 ใหม่ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการสมยอมกันในการเสนอราคา การลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้าง

รวมทั้งลดความผิดพลาดในการใช้ดุลพินิจในการพิจารณา โดยได้ยกเลิกแนวทางปฏิบัติดังกล่าว รวมทั้งยกเว้นการปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

สำหรับเงื่อนไขเกี่ยวกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ได้ยกเลิกการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีไม่น้อยกว่า 30% ของงบประมาณที่ตรงกับการขึ้นทะเบียนสินค้าหรืองานบริการที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กำหนด และยกเลิกการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดซื้อจัดจ้างกับเอสเอ็มอี ในพื้นที่ที่จังหวัดของหน่วยงานของรัฐตั้งอยู่ก่อนโดยวิธีคัดเลือก หากพัสดุที่หน่วยงานของรัฐต้องการจัดซื้อจัดจ้างนั้นมีเอสเอ็มอีขึ้นทะเบียนไว้ครบตั้งแต่ 6 รายขึ้นไป

ส่วนกรณีให้แต้มต่อกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในการเสนอราคาสูงกว่าผู้ประกอบการทั่วไปได้ไม่เกิน 10% ของราคาต่ำสุดของผู้ประกอบการที่ไม่เป็นเอสเอ็มอี ยังคงเดิม

นางสาวกุลยากล่าวว่า เงื่อนไขเกี่ยวกับสินค้า เมดอินไทยแลนด์ หรือเอ็มไอที สำหรับกรณีการจัดซื้อได้ยกเลิกกรณีพัสดุที่จะจัดซื้อมีผู้ประกอบการที่ได้รับเครื่องหมายเอ็มไอที จากสภาอุตสาหกรรมฯ ตั้งแต่ 6 รายขึ้นไป เปลี่ยนเป็นให้กำหนดสเป็กว่า เป็นพัสดุที่ได้รับเอ็มไอที และต้องจัดซื้อจากผู้ประกอบการที่มีเครื่องหมาย เอ็มไอทีเท่านั้น และเพิ่มเติมเงื่อนไขใหม่ดังนี้ ให้แต้มต่อกับผู้เสนอราคาได้เสนอพัสดุที่เป็นพัสดุที่ผลิตภายในประเทศที่ได้รับการรับรองเครื่องหมาย เอ็มไอทีจากสภาอุตสาหกรรมฯ สูงกว่าผู้เสนอราคารายอื่นไม่เกิน 5%

ส่วนกรณีใช้การพิจารณาแบบราคารวม ให้แต้มต่อกับผู้ยื่นข้อเสนอที่ได้เสนอสินค้าหลายรายการรวมกันเป็นสินค้าที่ได้รับเครื่องหมาย เอ็มไอที จากสภาอุตสาหกรรมฯ โดยมีมูลค่าตั้งแต่ 60% ขึ้นไป ในการเสนอราคาสูงกว่าผู้ยื่นข้อเสนอรายอื่นไม่เกิน 5% กรณีผู้เสนอราคาเป็นบุคคลไทยหรือนิติบุคคลไทยตามกฎหมายให้แต้มต่อผู้เสนอราคาที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เสนอราคาสูงกว่าราคาต่ำสุดของผู้ยื่นข้อเสนอ ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ได้ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศไม่เกิน 3%

ขณะที่กรณีการจัดซื้อจัดจ้างวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท กำหนดให้กรณีวงเงินการจัดซื้อจัดจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นลำดับแรกก่อน

ทั้งนี้ หนังสือฉบับนี้ มีผลกับการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (อี-บิดดิง) ที่จะประกาศเชิญชวนในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565 เป็นต้นไป ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีคัดเลือก กรณีหน่วยงานของรัฐได้ส่งหนังสือเชิญชวนไปยังผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2565 ให้ยกเลิกการเชิญชวนนั้นและดำเนินการใหม่ภายใต้เงื่อนไขตามหนังสือฉบับนี้

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance